แนวคิดและหลักการ
การจัดการเรียนรู้ ศตวรรษที่ 21


  • การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นแนวคิดที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลก ในปัจจุบัน ที่เป็นผลกระทบมาจากความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาล
  • ส่งผลให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ต้องกลับมาทบทวนพัฒนาหลักสูตรและการจัดการศึกษา รวมทั้งการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ให้ผู้เรียนในฐานะเป็นพลเมืองของชาติ ให้มีความพร้อมสำหรับการดำรงชีวิต การเรียนรู้ และการทำงาน ในศตวรรษที่ 21 อย่างเป็นรูปธรรม
  • สำหรับประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่ศตวรรษที่ 21
  • โดยมีการกำหนดสมรรถนะสำคัญของ ผู้เรียน และมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณธรรม มีความเป็นไทย ขณะเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐานก็มีการกำหนดยุทธศาสตร์ ในการ เตรียมความพร้อมผู้เรียนเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและประชาคมโลก
  • โดยมุ่งสร้างผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ในการสร้างผู้เรียนให้มีศักยภาพ ทักษะ และความรู้พื้นฐานในการดำรงชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 นั้น
  • จะต้องอาศัยการจัดการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องและเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการคิด การเรียนรู้ ผ่านโครงงานหรือโครงการการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้น การเรียนรู้ในรูปของการค้นคว้าด้วยตนเอง
  • ซึ่งเป็น พื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning) รวมถึงการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการ แสวงหาความรู้ของผู้เรียน
  • ผู้สอน ได้เล็งเห็นความสำคัญของนโยบายปฏิรูปการเรียนรู้ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียน รองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียนและยกระดับศักยภาพ ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล จึงได้จัดทำ Blog Sites หรับใช้เป็นแนวทางจัดการเรียนการสอน
  • เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพทัดเทียมกับนานาประเทศ อันจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน โดยดำเนินการจัดทำแนวทางการจัดการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21ตามหลักการสำคัญต่อไปนี้
    • 1. มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนรักที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต สามารถเรียนรู้พัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • 2. มุ่งเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีทักษะการคิด ทักษะชีวิต และทักษะด้านการจัดการข้อมูล สารสนเทศ อย่างมี ประสิทธิภาพ (Information Technology)
    • 3. มุ่งฝึกฝนให้ผู้เรียนสามารถสืบค้นข้อมูล (Data) จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ สามารถวิเคราะห์ความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ และสามารถแปลงข้อมูลเป็นความรู้ (Knowledge) เพื่อนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • 4. มุ่งสร้างเสริมนิสัยใฝ่เรียนรู้ และฝึกฝนทักษะวิธีการเรียนรู้แก่ผู้เรียน (Learning skill) ให้สามารถเข้าถึง แหล่งข้อมูลความรู้ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล สามารถนำมาใช้ในการเรียน การทำงาน และการ ดำเนินชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อเมริกันพื้นเมือง (อินเดียนแดง) กับคนขาว ตอนที่ 3.


อเมริกันพื้นเมือง (อินเดียนแดง) กับคนขาว
ตอนที่ 3. (สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)

---------------------------------------------------
อาณานิคมของสเปน
.......การเดินทางมาถึงของ โคลัมบัส ในการค้นหาโลกใหม่ ได้ค้นพบเวเนซุเอลา ใน ค.ศ.1499 
.......นักเดินเรือชาวอิตาลียน ชื่อ อเมริโก เวสปุกชี (Americo Vespucci) เดินทางสำรวจให้กับสเปน ได้แล่นเรือสำรวจชายฝั่งประเทศเวเนสุเอลา ทะเลสาบมาราไคโบ 
.......พบเห็นบ้านเรือนของชนพื้นเมืองก่อตั้งอยู่ริมน้ำ คล้ายหมู่บ้านของชาวเวนิส จึงเรียกดินแดนที่เขาพบนี้ว่า เวเนสุเอลา ซึ่งหมายถึง เวนิสน้อย) 
.......ในปี ค.ศ. 1567 เวเนซูเอลา กลายเป็นอาณานิคมของสเปน การมาถึงของคนขาว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อชนพื้นเมืองตลอดไป ในช่วงถัดไปอีก 350 ปี
---------------------------------------------------


.......ยุคแห่งการสำรวจสเปน เริ่มตั้งหลักแหล่งอยู่ในหมู่เกาะแคริบเบียนและผู้พิชิต(conquistador) ก็เริ่มโค่นจักรวรรดิท้องถิ่นที่พบเช่นจักรวรรดิแอซเท็คและจักรวรรดิอินคา 
.......ต่อมาคณะสำรวจก็ขยายดินแดนของจักรวรรดิสเปนตั้งแต่บริเวณที่เป็นแคนาดาปัจจุบัน ในทวีปอเมริกาเหนือไปจนจรด เตียร์ราเดลฟวยโก ทางตอนใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ 
.......การเดินทางสำรวจของสเปนเป็นการเดินทางรอบโลกที่เริ่มโดยเฟอร์ดินันด์ มาเจลลันในปี ค.ศ. 1519 และจบลงด้วย Juan Sebastian Elcano ในปี ค.ศ. 1522 
.......ซึ่งเป็นการสำรวจ ตามความตั้งใจ ของโคลัมบัส ในการพยายามหาเส้นทางไปยังเอเชีย โดยการเดินทางไปทางตะวันตก 
.......ซึ่งทำให้สเปนหันมาสนใจ ในตะวันออกไกล โดยการก่อตั้งอาณานิคมในเกาะกวม, ฟิลิปปินส์ และเกาะใกล้เคียง 
.......ระหว่าง “ยุคทองของสเปน” (Siglo de Oro) จักรวรรดิสเปน ประกอบด้วยเนเธอร์แลนด์, ลักเซมเบิร์ก, เบลเยียม, ส่วนใหญ่ของอิตาลี, บางส่วนของเยอรมนี, บางส่วนของฝรั่งเศส, ดินแดนในแอฟริกา, เอเชีย และ โอเชียเนีย และดินแดนส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกา 
.......เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 สเปนก็ครอบครองดินแดนที่กว้างใหญ่ที่สุดกว่าที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านั้น
---------------------------------------------------


.......การค้าขายระหว่างสเปนและอาณานิคมก็รุ่งเรือง สินค้าต่างๆ ที่รวมทั้งโลหะมีค่าจากอเมริกา ถูกนำกลับมาสเปน ในกองเรือสมบัติ (Spanish treasure fleets) เป็นประจำทุกปี 
.......กองเรือมะนิลา(Manila Galleon) ก็เชื่อมระหว่างฟิลิปปินส์ กับอเมริกา โดยมีเรือติดต่ออย่างสม่ำเสมอ ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก การค้าขายส่วนใหญ่เป็นการทำเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ให้แก่ราชนาวีของสเปน และเพื่อพิทักษ์จักรวรรดิสเปนในยุโรป
.......ในอเมริกา สเปนปกครองอาณาจักรอันกว้างใหญ่ บนพื้นฐานของแรงงานและการใช้ประโยชน์ของประชากรอินเดียน 
.......สเปนต้องการจะนำศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ไปยังดินแดนใหม่ ชาวสเปนหลายหมื่นคนข้ามมหาสมุทร มายังดินแดนใหม่ 
.......ชาวสเปนมาพร้อมกับ โรคร้าย! ที่ชาวพื้นเมืองในโลกใหม่ไม่มีภูมิคุ้มกัน สิ่งที่ตามมาเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรม ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ 
.......เช่น ไข้ทรพิษ โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคติดต่ออื่น ๆ ทำลายประชากรพื้นเมืองนับล้าน 
.......เป้าหมายของพวกเขาคือการขยายอาณาจักรเพื่อความยิ่งใหญ่ ผลขอบการขยายอาณาเขตปกครอง 
.......ที่ตามมาคือการบังคับใช้แรงงานอินเดียน มีการอภิปรายที่เกิดขึ้นในสเปน เกี่ยวกับสิทธิของชาวอินเดียน 
.......นี่เป็นครั้งแรกที่ประเทศต่างๆ ในยุโรปได้ถกเถียงกันเกี่ยวกับสถานะของคนที่ไม่ใช่คริสเตียน 
.......โลกของอินเดียนได้เปลี่ยนไปตลอดกาล โดยนักสำรวจของสเปน ด้วยพฤติกรรมที่ผิด หลักการปกครองของสเปนในอเมริกา.
---------------------------------------------------


.......นักล่าอาณานิคมชาวสเปน "conquistadors"(ผู้ออกแสวงหา และพิชิต) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขุนนาง ที่ไม่ดีมาจากทางทิศตะวันตก และทิศใต้ของสเปน 
.......สามารถที่จะพิชิตจักรวรรดิใหญ่ ของโลกใหม่ ด้วยเทคโนโลยีทางทหารที่เหนือกว่า ชนเผ่าในท้องถิ่น 
.......เมื่อสเปนได้รับชัยชนะ พื้นที่ของชนเผ่าจะถูกแบ่งออกเป็น "encomiendas" หรือทุนของที่ดิน
......."conquistadors" (ผู้ออกแสวงหา) คือผู้ที่ได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ระบบนี้เป็นระบบที่ทารุณกรรมอย่างหนักต่ออินเดียน ทั่วทวีปอเมริกา 
.......อินเดียนถูกลดสถานภาพลงไปอยู่ในสภาพของการเป็นทาส เนื่องจากการปกครอง ที่เลวทรามและรุนแรง
---------------------------------------------------
.......ประชากรของแรงงานพื้นเมือง เริ่มมีจำนวนไม่เพียงพอ สำหรับอาณานิคมสเปน ที่กว้างใหญ่ 
.......พวกเขาเริ่มที่จะนำเข้าทาสแอฟริกัน มาใช้ในการทำงาน ในสวนตาลและเหมืองแร่เงิน 
.......การเหยียดสีผิวยังคงมีบทบาทในโลกใหม่ สังคมโคโลเนียลมีการแบ่งลำดับชั้นระหว่างผู้ปกครองและทาส 
.......ระบบอาณานิคมของ สเปน ที่แยกความแตกต่าง สำหรับกลุ่มที่มีเลือดของอินเดียน และ แอฟริกัน 
.......เกิดการแบ่งชนชั้นในทุกดินแดนของสเปนในทวีปอเมริกา ด้วยระบอบนี้ การเลือกปฏิบัติและการปราบปราม เป็นคุณลักษณะของการปกครอง โดยอาณานิคมสเปน ตลอดประวัติศาสตร์.
.......รัฐบาลของสเปนในกรุงมาดริด พยายามอย่างหนักในการควบคุมโลกใหม่ แม้จะมีระยะทางห่างใกลจากยุโรป 
.......การใช้ระบบการทำงานของ viceroyalties (อำนาจของอุปราช ผู้สำเร็จราชการ) และ audencias (ผู้รับราชโองการ) 
.......สถาบันพระมหากษัตริย์ สามารถที่จะควบคุม การเข้ามาตั้งถิ่นฐานของสเปนในทวีปอเมริกา 
.......พระมหากษัตริย์มีสิทธิที่จะได้รับหนึ่งในห้าของกำไร จากเหมืองแร่ทั้งหมด และรายได้ที่มากนี้ช่วยให้สเปน กลายเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในยุโรป ในช่วงปี ค.ศ 1600
---------------------------------------------------


.......การผสมผสานระหว่างศาสนา และ การเมือง คือสิ่งที่สเปนนำมาใช้สร้างระบบการปกครอง ที่จะกลายเป็นรูปแบบของการปกครองในอเมริกาตะวันตกเฉียงใต้: "สาธารณรัฐโดมินิกัน" 
.......ฟรานซิสและมิชชันนารี่(ผู้เผยเเพร่ศาสนา) นิกายเยซูอิต (คริสตศาสนา) ที่ต้องดูแลของพื้นที่ขนาดใหญ่ใน เท็กซัส/แอริโซนา/นิวเม็กซิโก และแคลิฟอร์เนีย ในภายหลัง 
.......โดยมีเป้าหมายของการนำศาสนาคาทอลิกไปยังโลกใหม่ สเปนก็ยังสามารถที่จะใช้รัฐบาลคริสตจักรที่มีอยู่ 
.......สำหรับงานทางการเมืองของตัวเอง กฎหมายที่เด็ดขาดมาจาก มาดริด อาณานิคมของสเปน ก็ได้แผ่ขยายครอบคลุมกว้างใหญ่ขึ้น ทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ และ อเมริกาใต้ 
.......โดยเฉพาะอเมริกาใต้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนของอาณานิคม สเปน (ในสมัยโบราณเวเนซุเอลา และ แคริบเบียนมีชนพื้นเมืองอินเดียนแดงอาศัยอยู่ คือเผ่า Arawak ในปี ค.ศ.1522 ได้ตกเป็น อาณานิคมของ สเปน ครั้งแรกในละตินอเมริกา )
.......ในที่สุดสงครามอิสรภาพ ในช่วงต้นศตวรรษที่สิบเก้า ก็ได้เกิดขึ้น กับสงครามประกาศอิสระภาพ ของ Simon Bolivar ซีมอง โบลีวาร์ (ในภาษาสเปน: Simón Bolívar) 
.......เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวให้ประเทศต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้เป็นอิสระ หรือที่เรียกกันในนามว่า "สงครามโบลีวาร์" โบลีวาร์เป็นนักการต่อสู้เพื่อความอิสระให้ประเทศ. เวเนซุเอลา / โคลอมเบีย/ เอกวาดอร์/ เปรู/ปานามาและ โบลิเวีย เป็นอิสระจากอาณานิคมสเปน เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนาม "ผู้กู้อิสรภาพ"
---------------------------------------------------


Simón Bolívar 
.......-ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหภาพโคลอมเบีย เมื่อ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1819 – 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1830 
.......-ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีโบลิเวีย เมื่อ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1825 – 29 ธันวาคม ค.ศ. 1825 
.......-ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเปรู เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1824 – 28 มกราคม ค.ศ.1827
.......โบลิวาร์เกิดใน ปี ค.ส.1783 ในเมืองการากัส (เวเนซุเอลา) ในตระกูลขุนนางที่มาจากสเปน และกลายเป็นเด็กกำพร้า ตอนอายุสิบหก 
.......เขาเติบโตขึ้นมาในช่วงที่ความคิดและอุดมการณ์ที่มีผลต่อความคิดของเขาอย่างลึกซึ้ง เขาเคยอ่านงานเขียน ของนัก ปรัชญา อย่าง จอห์น ล็อค (john locke) / รูสโซส์ (JEAN-JACQUES ROUSSEAU.) / วอลแตร์ (Voltaire)/บารอน เดอ มองเตสกิเออร์ (Baron de Montesquieu) และนักปรัชญาอื่น ๆ 
.......นอกจากนี้เขายังชื่นชมในความสามารถ ของ นโปเลียน อีกด้วย. ซีมอง โบลีวาร์ เป็นคนเข้มแข็งมาก ตราบเท่าที่ไม่มีวันแห่งมาตุภูมิ การปลดปล่อยจากการปกครองของสเปน 
.......เขาจะต่อสู้จนถึงวันหนึ่งแห่งชัยชนะ ในที่สุด เวเนซุเอลา ก็มาถึงจุดเริ่มต้นของความเป็นอิสระ 
.......โดยขบวนการต่อต้านการปกครองของ สเปน ในปี ค.ศ.1806, 
.......ฟรานซิส เดอมิแรนดา เริ่มการปฏิวัติใน การากัส แต่ล้มเหลว ในปี.ค.ศ. 1810 (หลังจากนั้น 1 ปี ในช่วงที่สเปนเข้าควบคุมกองทัพ อาณานิคม "ฟรานซิส เดอมิแรนดา"ถูกคุมขัง) ในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ 1811 ผู้ว่าราชการแห่ง เวเนซูเอลาได้ถูกปลดออก 
---------------------------------------------------
.......ในปี ค.ศ. 1819 ก็มาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อ โบลิวาร์นำหน่วยเล็ก ๆ ของเขาข้ามแม่น้ำ และ ข้ามเทือกเขาแอนดีช บนทางที่แคบและสูงชันโดยกองทัพโคลอมเบีย เข้าโจมตีสเปน โบลิวาร์ชนะการรบ เมื่อ 7 สิงหาคม 1819 นับเป็นจุดเปลี่ยนของสงครามที่แท้จริง 
.......เวเนซูเอลา ประกาศอิสรภาพ ภายใต้การนำของ Simon Bolivar ในมิถุนายน ค.ศ 1821 เพื่อแยกตัวเอง ออกจากการปกครอง เป็นอาณานิคม ภายใต้อำนาจของ สเปน
.......ปี ค.ศ 1822 ประกาศอิสรภาพโคลัมเบีย / เอกวาดอร์ และปานามา.
หลังจากปีของความวุ่นวายในประเทศ 
.......และในที่สุดละตินอเมริกา ได้รับอิสรภาพ โดย Simon Bolivar (SimónBolívar) ผู้นำในความสำเร็จ ของอิสรภาพอย่างสมบูรณ์ 
.......ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1821 จนถึง ค.ศ.1830, เวเนซุเอลา / โคลัมเบีย /ปานามา /เอกวาดอร์และประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ 
.......เป็นสาธารณรัฐโคลัมเบีย (GranColombia ชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศ คือ Repúblicade Colombia) หลังจากนั้น เวเนซูเอลา แยกเป็นประเทศเอกราชในปี ค.ศ. 1830 (สาธารณรัฐเวเนซุเอลา)
.......***(ผู้ว่าราชการเวเนซุเอลา ถูกไล่ออก นั่นคือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติต่อต้านการปกครองของสเปนในเวเนซุเอลา (ค.ศ.1811) ได้มีการทำประกาศอย่างเป็นทางการ ของความเป็นอิสระ กับคณะนายพลทหาร )***
--------------------------------------------------------------------
.......คณะผู้นำทางทหารที่เกี่ยวข้อง กับการต่อต้านการปกครองของ สเปน
จอมพล.เซบาสเตียน ฟรานซิส เดอมิแรนดา รอทดิเกส
(แม่ทัพและพลเรือเอกของฝรั่งเศส แห่งเวเนซุเอลา จอมพลพันเอกสเปน)
.......นายทหารของกองทัพสเปน และ ฝรั่งเศส อยู่ในระดับของพันเอก และ จอมพลตามลำดับ 
.......เขามีส่วนร่วมในสงครามสำคัญๆ หลายสมรภูมิ ทั้งสงคราม ในแอลเจียร์ (เมืองหลวงของ แอลจีเรีย) สงครามในทวีปแอฟริกา และสงครามอิสรภาพอเมริกัน การปฏิวัติฝรั่งเศส และสงครามอิสรภาพของเวเนซูเอลา
---------------------------------------------------
......."ฟรานซิส เดอมิแรนดา" เป็นแกนนำสำคัญ เกี่ยวกับการทำประกาศอย่างเป็นทางการในการประกาศอิสรภาพ "เอกสารปลดปล่อยอเมริกัน "กับจักรวรรดิสเปน 
.......รู้จักกันในชื่อ "The First เวเนซุเอลาสากล -สากลอเมริกัน" 
.......เขาเป็นผู้มีส่วนร่วมของอิสรภาพ ของสหรัฐอเมริกา ต่อการปฏิวัติฝรั่งเศส และความเป็นอิสระของเวเนซูเอลาในภายหลัง 
.......การปฏิวัติเวเนซูเอลา ที่ช่วยปูทางสำหรับการเป็นอิสระในละตินอเมริกา แผนสำหรับการปลดปล่อยอาณานิคมสเปน 
.......ด้วยความช่วยเหลือของประชาชนแต่ล้มเหลวในที่สุด แต่เขายังคงเป็นที่รู้จักกันในนามของ "ผู้บุกเบิก" ที่ปูทางให้ Bolívarและอื่น ๆ ทำการปฎิวัติมีประสิทธิภาพมากขึ้น
---------------------------------------------------
.......ในเส้นทางชีวิตของเขามีส่วนร่วมในการสู้รบ ในสงครามสำคัญทั้งสามสงคราม 
.......1.สงครามเพื่อประชาธิปไตยอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา 
.......2.สงครามปฏิวัติฝรั่งเศส
.......3.สงครามอเมริกันอิสรภาพ กับสเปน 
.......เขาเน้นนโยบายการเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง ความเป็นอิสระและอำนาจอธิปไตยของประเทศ 
.......ในเวทีระหว่างประเทศ เป็นผู้ลงนามในพระราชบัญญัติของการประกาศอิสรภาพ ของเวเนซูเอลา
.......และผู้เริ่มต้นและเป็นผู้นำของสังคมรักชาติ เขายังเป็นผู้สร้างของแผนงานทางการเมือง โคลัมเบีย 
.......โดย ซิมอง โบลิวาร์ พยายามที่จะดำเนินการ หลังจากการปลดปล่อยของ โคลอมเบีย / เอกวาดอร์และเวเนซุเอลา ในปี ค.ศ.1826 มีเป้าหมายที่จะรวมดินแดนอาณานิคม เป็นประเทศ
......."ฟรานซิส เดอมิแรนดา"ถูกคุมขังในท้ายที่สุดของชีวิต เเละเสียชีวิตในเรือนจำ เมื่ออายุ ได้ 66 ปี 
--------------------------------------------------------------------
.......นายพล. โฮเซ เดอ ซาน มาร์ติน Jose de San Martin ในภาษาสเปน: José Francisco de San Martín Matorras ) เป็นนายพลชาวอาร์เจนตินา 
.......ผู้ซึ่งเป็นผู้นำในการประกาศเอกราชอเมริกาใต้ ตอนล่าง (อาร์เจนตินาและชิลี) จากประเทศสเปน
.......เป็นผู้นำในการปลดปล่อย ในอาร์เจนตินาและชิลี ให้เป็นเอกราช ค.ศ 1818
.......เริ่มจากการประกาศเอกราชของประเทศต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ ด้วยเหตุที่อาณานิคมในทวีปอเมริกาเหนือได้ประกาศเอกราช ตั้งเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา จึงเป็นตัวอย่างที่ชาวอาณานิคมในทวีปอเมริกาใต้ ต้องการเอกราช
.......โดยเริ่มจากชาวอาณานิคมในเมืองคารากัส ได้ก่อการกบฏขึ้นในปี ค.ศ. 1810 ขับไล่แม่ทัพของสเปน ออกไปและตั้งคณะกรรมการขึ้นปกครองตนเอง โดยมีผู้นำในอาณานิคมหลายคน ที่ต้องการปลดปล่อยอาณานิคมในทวีปอเมริกาใต้ให้เป็นอิสระ
--------------------------------------------------------------------
.......การยึดครองสเปน โดยฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1808 ภายใต้การนำของ จักรพรรดินโปเลียน เป็นการตัดขาดการติดต่อ กับอาณานิคมในอเมริกา อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง มีผลทำให้ สงครามอิสรภาพสเปนอเมริกันโดยคณะนายพลทหารที่สำคัญๆ เกิดขึ้น 
.......ต่อเนื่องกันระหว่าง ค.ศ. 1810 ถึง ค.ศ. 1830 มีผลทำให้รัฐต่างๆของสเปน ในอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ ได้รับอิสรภาพจากสเปน 
.......ดินแดนที่เหลือที่รวมทั้งคิวบา,เปอร์โตริโก, ที่อยู่ภายใต้การปกครองของสเปนมาจนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ส่วนใหญ่มาถูกผนวกโดยสหรัฐอเมริกา
---------------------------------------------------
.......หลัง สงครามสเปน-อเมริกัน ดินแดนที่เหลือในหมู่เกาะแปซิฟิกขายให้แก่จักรวรรดิเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1899 
.......เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 สเปนก็เหลือแต่ดินแดนในแอฟริกา ในกินีสเปน, ซาฮาราสเปน และโมร็อกโกสเปน 
.......สเปนถอนตัวจากโมร็อกโกในปี ค.ศ. 1956 และมอบอิสรภาพให้แก่อิเควทอเรียลกินีในปี ค.ศ. 1968 
.......เมื่อสเปนถอนตัวจากซาฮาราสเปนในปี ค.ศ. 1976 ในช่วงแรกอาณานิคมก็ถูกผนวกโดยโมร็อกโกและมอริเตเนีย 
.......แต่ต่อมาก็รวมเป็นโมร็อกโกทั้งหมดในปี ค.ศ. 1980 แม้ว่าตามทฤษฎีของสหประชาชาติ 
.......ซาฮาราสเปนยังคงอยู่ภายใต้การบริหารของสเปน ในปัจจุบัน หมู่เกาะคะเนรี และบริเวณอีกสองบริเวณบนฝั่งทะเลแอฟริกาเหนือเซวตา และ เมลียายังคงเป็นดินแดนบริหารของสเปน (หมดยุคสมัยแห่ง อาณานิคมสเปน)
---------------------------------------------------
.......ป.ล. เราจะเห็นความแตกต่าง ของการทำสงครามเพื่ออิสระภาพ ในอเมริกาเหนือ 
.......เป็นไปในแนวทาง เพื่อรวมเป็นสหพันธรัฐขนาดใหญ่ กลายเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาในท้ายที่สุด 
.......ในขณะที่อเมริกาใต้ สงครามเพื่ออิสรภาพ นำไปสู่ความเป็นเอกราช ของประเทศต่างๆ หลายประเทศ ในตอนท้าย... 
.......แต่ไม่ว่าบทสรุปจะจบลงแบบไหนนั้น ชนพื้นเมืองอเมริกัน ล้วนไม่ได้รับสิทธิ เสรีภาพ และ อิสรภาพ อย่างแท้จริง.
---------------------------------------------------
ป.ล.2 จบตอนที่ 3 ติดตามตอนต่อไป ^^

อเมริกันพื้นเมือง (อินเดียนแดง) กับ คนขาว ตอนที่ 2


อเมริกันพื้นเมือง (อินเดียนแดง) กับ คนขาว
ตอนที่ 2. (สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)

---------------------------------------------------
อาณานิคมอังกฤษ
........รัฐบาลอังกฤษ ส่งคนในปกครองของตน โดยเฉพาะนักโทษ และทาสผิวดำชาวแอฟริกัน เข้ามาตั้งถิ่นฐานตามแนวชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก 
........แล้วเริ่มขยับขยายไป ผนวกกับดินแดนที่เคยอยู่ในปกครอง ของชาวยุโรปชาติอื่น จนสามารถจัดตั้ง "สิมสามอาณานิคม" (Thirteen Colonies) ของอังกฤษ ขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือ ได้สำเร็จ ระหว่างปี ค.ศ. 1607 - 1733 ประกอบด้วย
........1. เวอร์จิเนีย (Virginia) ค.ศ.1607
........2. แมรี่แลนด์ (Maryland) ค.ศ.1632
........3. คอนเนตทิคัต (Connecticut) ค.ศ.1636
........4. โรดไอแลนด์ (Rhodes Island)ค.ศ.1636
........5. เดลาแวร์ (Delaware) ค.ศ.1664
........6. นิวเจอร์ซีย์ (New Jersey) ค.ศ.1664
........7. นิวยอร์ค (New York) ค.ศ.1665
........8. เพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) ค.ศ.1681
........9. นิวแฮมป์เชียร์ (New Hampshire) ค.ศ. 1691
........10. แมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) ค.ศ. 1692
........11. นอร์ทแคโรไลนา (North Carolina) ค.ศ.1712
........12. เซาท์แคโรไลนา (South Carolina) ค.ศ.1713
........13. จอร์เจีย (Georgia) ค.ศ. 1732
........จำนวนประชากรในสิบสามอาณานิคม เริ่มจาก 2,000 คน ในปี ค.ศ. 1625 เพิ่มมาเป็น 2,400,000 คน ในปี ค.ศ. 1775 โดยราว 300,000 คนเป็นทาสชาวแอฟฟริกัน ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นนักโทษจากอังกฤษ.
........ในระหว่างการควบคุมอาณานิคมทั้งสิบสามแห่ง ความโหดร้ายของคนขาว ที่มีต่อชาวอเมริกันพื้นเมือง ก็เริ่มปรากฏออกมาให้เห็น กษัตริย์ จอร์จ ที่สอง แห่งสหราชอาณาจักร 
........ได้ออกประกาศ ณ.วันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1755 ในการจ่ายค่าหัวอินเดียน เผ่าโนบ
........สำหรับผู้ใหญ่ชายหัวละ 40 ปอนด์ 
........สำหรับผู้ใหญ่เพศหญิงหัวละ 25 ปอนด์
........หัวเด็กชายและเด็กหญิงอายุต่ำกว่าสิบสองปี หัวละ 20 ปอนด์
........ประกาศเหล่านี้ ได้แสดงเจตจำนงค์ อย่างชัดเจน แสดงถึงการตั้งอาณานิคม ที่มี "เจตนาที่จะกำจัดชาวพื้นเมืองออกไป" ตัวบ่งชี้ที่สำคัญของการกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
........การใช้ โรคร้าย! สังหารประชากรอเมริกันพื้นเมือง ชนพื้นเมืองอเมริกันมีความแตกต่าง จาก ชาวยุโรป ชนพื้นเมืองไม่ได้มีภูมิคุ้มกัน กับเชื้อโรคติดต่อบางชนิด 
........เป็นผลให้คนนับล้านถูกฆ่าตายด้วย โรคร้าย เช่น ไข้ทรพิษ(ฝีดาษ) /ไข้หวัดใหญ่ / โรคไอกรนคอตีบ / ไทฟอยด์ / กาฬโรค / อหิวาตกโรค / ไข้ผื่นแดง และ โรคซิฟิลิส
........การแพร่กระจายของโรคโดยเจตนา จากอาณานิคมคนขาว มีกรณีที่ยืนยันความพยายามที่อาณานิคมคนขาว จะกำจัดชนพื้นเมืองด้วย โรคร้าย 
........ในปี ค.ส. 1763 เกิดการจลาจลที่รุนแรง ในเพนซิลเวเนีย (อาณานิคมอังกฤษ) ความกังวลเกี่ยวกับทรัพยากรที่มีจำกัด และชนพื้นเมืองเริ่มลุกฮือต่อต้านรุนแรง. เซอร์ เจฟฟรีย์ แอมเฮิร์ท ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพอังกฤษ ในทวีปอเมริกาเหนือ เขียนถึงพันเอก เฮนรี่ ฟอร์ต 
---------------------------------------------------



ในเนื้อหาของบทความ เขียนว่า:
........"จะเป็นการดีมาก ในความพยายามที่จะแพร่เชื้อ ไข้ทรพิษ ด้วยวิธีการใช้ผ้าห่ม หรือจะลองทุกวิธีการอื่นๆ ที่สามารถทำหน้าที่ในการกำจัด คู่แข่งขันที่น่าชังนี้"
........การตั้งอาณานิคมของคนขาว มีความมุ่งมั่นเพื่อกำจัดชนพื้นเมือง โดยการแพร่กระจายไข้ทรพิษ กับชาวพื้นเมืองอเมริกัน ด้วยการแจกจ่ายผ้าห่ม ของผู้ป่วยโรคติดต่อก่อนหน้านี้ ให้คนพื้นเมือง ในการแพร่เชื้อ
........จากความขัดแย้งที่รุนแรง การปะทะกันระหว่างอาณานิคม ชาวยุโรปและชนพื้นเมือง นานกว่าสี่ร้อยปี การสู้รบขนาดเล็ก สงครามขนาดใหญ่ และระบบการบังคับใช้แรงงานบนที่ดินขนาดใหญ่ การถูกบังคับนำไปขายเป็นทาส 
........ความทารุณ โหดร้ายของอาณานิคม ยุโรป ที่เกิดขึ้นตลอดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของอเมริกา ทำให้อินเดียนแดง หรือ อเมริกันพื้นเมือง ต้องจบชีวิตลงจำนวนมาก
........รัฐบาลอังกฤษ ใช้นโยบายการปกครองที่ไม่เป็นธรรม ต่อชาวอาณานิคม ประกอบกับแนวคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพ ของ "จอห์น ล็อก" (John Locke) นักปรัชญาชาวอังกฤษ ได้เป็นที่แพร่หลายในทวีปอเมริกา 
........ทำให้ชาวอาณานิคมเริ่มลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลอังกฤษ โดยเรียกร้องว่า การถูกรัฐบาลอังกฤษเก็บภาษีโดยที่ไม่เปิดโอกาศ ให้พวกเขามีตัวแทนเข้าทำหน้าที่ในรัฐสภาของอังกฤษ ถือเป็นเรื่องผิดกฏหมาย และพวกเขายังได้ต่อต้าน กฏหมายอีกหลายฉบับที่ออกโดยรัฐบาล อังกฤษ.
........จนกระทั่งเกิด กรณี "Boston Tea Party" ในปี ค.ศ. 1773 โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลอังกฤษ ส่งเสริมให้ชาวอาณานิคมปลูกชาขายกันอย่างกว้างขวาง 
........แต่ต่อมา "บริษัท อินเดียตะวันออก" (East India Company) ของรัฐบาลอังกฤษ ประสบปัญหาการเงิน เพราะราคาใบชาในตลาดโลกสูงมากจนขายไม่ออก 
........รัฐบาลอังกฤษ จึงออกกฏหมายลดภาษีใบชา ซึ่งทำให้พ่อค้าใบชาในสิบสามอาณานิคม  ได้รับผลกระทบอย่างหนัก 
........จนกระทั่งในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ.1773 ชาวอาณานิคม ที่บอสตันราว 100 คน ได้ปลอมตัวเป็นชนเผ่าพื้นเมือง บุกขึ้นเรือสินค้า 3 ลำของรัฐบาลอังกฤษ แล้วโยนหีบใบชาทิ้งทะเล 
........ทำให้รัฐบาลอังกฤษ ส่งทหารเข้าปราบปราม และกลายเป็นชนวนเหตุของสงคราม เพื่อประกาศอิสระภาพของชาวอเมริกัน 
........ชาวอาณานิคมเข้าร่วมการประชุม "สภาภาคพื้นทวีป" ( Continental Congress) ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1774 
........เพื่อเตรียมการปฏิวัติอเมริกัน ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ ส่ง นายพล. โทมัส เกจ (Thomas Gage) นำทหารเข้ายึดอาวุธฝ่ายอาณานิคม ในเดือน เมษายน ค.ศ. 1775 แต่ถูกตอบโต้โดยทหารอาสาสมัครในท้องถิ่น 
........ดังนั้นในเดือนถัดมาซึ่งมีการประชุมสภาภาคพื้นทวีปครั้งที่ 2 ในทึ่ประชุมจึงลงมติจัดตั้ง ''กองทัพภาคพื้นทวีป" (Continental Army) 
........โดยมอบหมายให้ "จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) นายทหารที่เป็นตัวแทน ของอาณานิคมเวอร์จิเนีย ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองทัพภาคพื้นทวีป
........พระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร (George III) ทรงแต่งตั้ง วิลเลี่ยม โฮว์ (William Howe) เป็นผู้บัญชาการกองทัพปราบกบฏอาณานิคม 
........ระดมทหารบก และทหารเรืออังกฤษ ร่วมกับทหารพันธมิตรชาติเยอรมัน และชนพื้นเมืองบางเผ่า เป็นกองทัพขนาดประมาณ 320,000 นาย
........ในขณะที่ฝ่ายอาณานิคมประกอบไปด้วยทหารของกองทัพภาคพื้นทวีป ร่วมกับทหารพันธมิตร ฝรั่งเศส สเปน ดัตช์ และชนพื้นเมืองบางเผ่า เป็นกองทัพขนาดประมาณ 156,000 นาย 
---------------------------------------------------


........ในช่วงต้นของสงคราม ฝ่ายอาณานิคมตกเป็นรอง จากจำนวนและประสบการณ์ของทหาร แต่เมื่อตั้งหลักได้ก็สามารถขับไล่ทหารอังกฤษ ออกจาก บอสตัน ระหว่างสงครามนั้นเอง สภาภาคพื้นทวีป ได้แต่งตั้งคณะกรรมการ 5คน ประกอบด้วย 

........1. จอห์น อดัมส์ (John Adams)
........2. โรเจอร์ เชอร์แมน (Roger Sherman)
........3. โรเบิร์ต ลิฟวิงสตัน (Robert Livingston)
........4. เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin)
........5. โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson)
........จัดทำคำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกาขึ้นมา โดย เจฟเฟอร์สัน ได้ร่างขึ้นมาแล้วส่งให้สภาภาคพื้นทวีปในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ.1776 
........อีกสองวันต่อมา 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 สมาชิกสภาภาคพื้นทวีป ทั้ง 56 รายก็ลงนามรับรอง ''คำประกาศอิสระภาพสหรัฐอเมริกา" และนำไปตีพิมพ์ประกาศ ต่อสาธารณชน 
........ชาวอเมริกัน จึงถือกันว่า วันที่ 4 กรกฎาคม เป็นวันชาติของตน
........ประโยคหนึ่งในคำประกาศอิสภาพ ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง และถือเป็นปรัชญาในการดำรงชีวิต ของชาวอเมริกันจนถึงปัจจุบัน คือ.

........"We hold these truths to be self-evident , that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable Rights, that among these are Life, Liberty and the pursuit of happiness,"

........(เราถือว่าความจริงต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือ มนุษย์ ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระผู้สร้างได้มอบสิทธิ บางประการที่จะเพิกถอนมิได้ ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิ เหล่านั้นได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข)


---------------------------------------------------
***แต่ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้นไม่ใช่สำหรับ ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน***(ผู้เขียน)
........กองทัพสหรัฐอเมริกาพ่ายแพ้ ในการบุก ควิเบก (แคนาดา) และสูญเสีย นิวยอร์ค กับ นิวเจอร์ซีย์ ให้กับกองทัพอังกฤษ 
........หลังจากนั้นกองทัพอังกฤษ เดินหน้าบุกเข้ายึดเมือง ฟิลลาเดเฟีย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ได้ในเดือน กันยายน ค.ศ.1777 
........ปลายปีนั้น วอชิงตันพาทหารหนีหนาวไปตั้งค่ายที่ "วัลเลย์ฟอจ"(Valley Forge)ในเพนซิลเวเนีย แล้วสะสมกำลังพลอยู่จนถึง ฤดูใบไม้ผลิปีต่อมา 
........จึงบุกเข้ายึดนิวเจอร์ซีย์ กลับคืนมา ได้ในเดือน มิถุนายน ค.ศ. 1778 จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่นิวยอร์ค แล้วทำลายเส้นทางและแหล่งเสบียง ของฝ่ายอังกฤษ ที่นิวยอร์ค
........เดิมทีฝรั่งเศษยังไม่ได้ส่งทหารเข้าร่วมรบอย่างเต็มตัว มีแค่การส่งเสบียงและยุทโธปกรณ์ในการสนับสนุน ให้กับฝ่ายอาณานิคม 
........จนกระทั้งเดือน กรกฎาคม ค.ศ.1780 กองเรือจากฝรั่งเศสก็เดินทางมาถึง โรดไอแลนด์ แล้วเอาชนะยุทธการนาวี ของกองเรืออังกฤษ ที่อ่าว เชสพีค ในเวอร์จีเนีย เมื่อเดือน กันยายน ค.ศ.1781 
........ส่วนทางบกนั้น กองทัพอังกฤษภายใต้การนำของ "ชาร์ลส คอร์นวอลลิส" (Charles Cornwallis) ก็พ่ายแพ้ที่ ยอร์กทาวน์ ทำให้ต้องถูกปิดล้อมอยู่ที่เวอร์จิเนีย และต้องประกาศยอมแพ้ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ.1781 
........หลังความพ่ายแพ้ของอังกฤษ การเจรจาสันติภาพก็เกิดขึ้น จนกระทั่งเกิดการลงนามใน "สนธิสัญญา ปารีส" (Treaty of Paris) เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ.1783 ระหว่างตัวแทนของสหรัฐอเมริกา คือ จอห์น อดัมส์ / เบนจามิน ฟรงคลิน / จอห์น เจย์ กับตัวแทนของราชสำนักอังกฤษ คือ "เดวิท ฮาร์ทเลย์" (David Hartley)
........เพื่อเป็นการยุติสงครามของทั้งสองฝ่าย และยอมรับในอำนาจอธิปไตยของสหรัฐอเมริกา หลังจากชนะสงคราม จอร์จ วอชิงตัน ได้ลาออกจากกองทัพ 
........เพื่อไม่ต้องการให้ตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง เวลานั้นสหรัฐอเมริกายังปกครองด้วยบทบัญญัติ ว่าด้วยสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) 
........จนเมื่อมีการประชุมเพื่อจัดทำณัฐธรรมนูญ (Constitutional Convention) เกิดขึ้นในเดือน พฤษภาคม - กันยายน ค.ศ. 1787 วอชิงตัน ก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานในที่ประชุม รัฐธรรมนูญ แห่งสหรัฐฯ 
........ได้รับการลงนามจากสมาชิกในที่ประชุมเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 1788 หลังจากนั้นได้มีกระบวนการเลือกตั้ง ประธานาธิบดี 
........โดยคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ลงคะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์เลือก จอร์จ วอชิงตัน เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา 
........และเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1789 ซึ่งชาวอเมริกันถือว่าวอชิงตัน คือ ''บิดาผู้ก่อกำเนิดสหรัฐอเมริกา''
---------------------------------------------------
***จากบทหนึ่งของประวัติศาสตร์ ในสงครามน้อยใหญ่ บนทวีปอเมริกา ชนพื้นเมืองอเมริกันมักถูกบังคับให้เข้าร่วมทำสงคราม ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ สงครามความขัดแย้ง ความรุนแรง ได้ทำให้พวกเขาลดจำนวนลงอย่างมากมาย*** (ผู้เขียน)
........ป.ล.ประวัติศาตร์อเมริกา บนรอยน้ำตา และคราบเลือด ของชนเผ่า (ติดตามต่อได้ในตอนที่ 3)

อเมริกันพื้นเมือง (อินเดียนแดง) กับคนขาว ตอนที่ 1.

อเมริกันพื้นเมือง (อินเดียนแดง) กับคนขาว
ตอนที่ 1.
  • ความโหดร้ายและความรุนแรง ต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นกับชาวพื้นเมืองอเมริกัน ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ก่อนการมาถึงของนักสำรวจชาวยุโรป ชาวอเมริกันพื้นเมืองตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยในสหรัฐฯอเมริกา มาเนิ่นนานหลายพันปี ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่มีกว่า 500 ชนเผ่า แต่ละเผ่ามีความแตกต่างด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต และประวัติศาสตร์

ความเป็นมาของอเมริกันพื้นเมือง (อินเดียนแดง)
  • เมื่อประมาณ 13,000 ปีก่อน มีการอพยพของชนเร่ร่อนเดินทางข้ามสะพาน แห่งอลาสก้า ที่เชื่อมต่อระหว่าง แผ่นดินเอเชีย กับ แผ่นดินอเมริกา สะพานแผ่นผืนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ทอดข้ามผ่านทะเลแบริ่ง จากแผ่นดินเอเชีย มายังแผ่นดิน อเมริกา คนเหล่านี้ถูกเรียกขานกันว่า ชนพื้นเมืองอเมริกัน ชนเผ่าส่วนใหญ่มาจากรากฐานเดียวกัน จากหลักฐานทาง ดีเอ็นเอ บ่งชี้ว่า ชาวอเมริกันพื้นเมืองมีเชื้อสายสืบทอดมาจาก ยีนส์ รากฐานบรรพบุรุษ ของพวกเขาอยู่ในเอเชียตะวันออก (ในบางทฤษฎีบอกว่าพวกเขาไม่ได้มาจากเอเชียตะวันออก ทั้งหมด แต่มาจากเอเชียกลาง และกลุ่มประเทศบริเวณ รัสเซีย ในปัจจุบัน)ในยุคสมัยอารยธรรมโคลวิส เมื่อประมาณ 12,000 - 13,000 ปีก่อน ในช่วงยุคน้ำแข็งที่กินเวลาเนิ่นนานหลายพันปี ทำให้ธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งขยายตัวมีขนาดใหญ่จนเป็นสะพานข้ามจากทวีปเอเชีย มาถึงทวีปอเมริกา (ยุคน้ำแข็งล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อ 21,500 - 13,000 ปีที่ผ่านมา) หลังจากได้ตั้งถิ่นฐานบนทวีปอเมริกาเหนือ ไปจนถึง ทวีปอเมริกาใต้ ชนพื้นเมืองอเมริกัน มีจำนวนกว่า 18 ล้านคน
  • ในปี ค.ศ.1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (นักสำรวจชาวยุโรป) ออกเดินทางสำรวจไปถึงทวีปอเมริกา ในศตวรรษที่ 15 มี 18 ล้านคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในดินแดนของสหรัฐ จนมาถึง ศตวรรษ ที่ 19 ชาวอเมริกันพื้นเมือง มีจำนวนลดลง เหลือน้อยกว่า 300,000 คน
  • การขยายตัวของชาวยุโรปต่างๆ ที่เข้ามาในอเมริกาเหนือ เช่น สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส ด้วยหลายเหตุปัจจัยด้วยกัน ดังนี้
    • - การตั้งอาณานิคมชาวยุโรป
    • - การแสวงหาผลประโยชน์ จากแผ่นดินใหม่ (ทวีปอเมริกา) ทองคำ -ทรัพยากร-และทาส
    • - นักโทษ ที่ถูกเนรเทศจาก ประเทศอังกฤษ (เป็นส่วนหนึ่งของ การตั้งอาณานิคมอังกฤษ)
    • - หลบหนีการกดขี่ทางศาสนา 
    • - การเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในดินแดนที่ถูกค้นพบ
  • ทั้งหมดล้วนนำไปสู่ การล่มสลายของวิถีชีวิตชาวอเมริกันพื้นเมือง อาณานิคมในการค้นหาทองคำ ได้เปิดฉากความรุนแรงกับชนเผ่าดั้งเดิมที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อน สงครามระหว่างชนพื้นเมืองกับคนขาว เกิดขึ้นหลายครั้ง จากการรุกร้ำพื้นที่ชาวพื้นเมือง ของคนขาว นำไปสู่ความขัดแย้งแล้วจบลงด้วยความตาย ของชนพื้นเมืองอเมริกัน จำนวนมาก การไล่ที่ดิน การกดขี่ข่มเขง และการเหยียดสีผิว การเผชิญหน้าจนนำไปสู่สงคราม หลายครั้ง

การตั้งอาณานิคมชาวยุโรป
  • ในขณะที่ประวัติศาสตร์ ของชนพื้นเมืองอเมริกันเริ่มต้นมาหลายพันปี ในอเมริกา ยุโรปเริ่มต้นสำรวจดินแดนใหม่ กับชายคนหนึ่ง ที่มุ่งมั่นจะหาเส้นทางที่ตรงจากยุโรปไปยังเอเชีย, คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (ชาวอีตาลี ภายใต้การสนับสนุน ของราชสำนัก สเปน) ได้ค้นพบทวีปอเมริกา ในปี ค.ศ. 1492 แต่โคลัมบัสไม่ใช่คนกลุ่มแรกที่เดินทางไปถึง 500 ปีก่อนหน้านั้น นักสำรวจชาวไอซ์แลนด์ เลฟ เอริกสัน ได้ค้นพบทวีปอเมริกาเหนือ เมื่อ ค.ศ. 1000 
  • โคลัมบัส ไม่ได้เป็นคนกลุ่มแรกที่ได้พบกับ ''อินเดีย'' (เขาให้คำจำกัดความกับชนพื้นเมืองในอเมริกาว่า "อินดิโอส" แปลว่าชาว อินเดีย) เพราะเขาคิดว่าเขาได้ล่องเรือในมหาสมุทรอินเดีย แต่ในความเป็นจริงดินแดนแห่งนี้ และผู้คนที่เขาค้นพบ คือชนพื้นเมืองในซีกโลกตะวันตก ที่มีอารยธรรมมาเนิ่นนาน นับพันปี
  • การเดินทางมาของเขา (โคลัมบัส) ที่ได้รับเงินสนับสนุน จากราชสำนัก สเปน เขาให้สัญญากับ ราชสำนักสเปน ว่าเขาจะนำทอง และดินแดนใหม่ๆ ซึ่งมีค่ามากกว่าเงินทุนในการสนับสนุน ที่เขาได้รับ เป็นการตอบแทน เมื่อเขามาถึงทวีปอเมริกา เขาได้ประกาศให้ดินแดนเหล่านั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของจักรวรรดิ์ สเปน จุดประสงค์ของการเดินทางไม่ใช่การค้นพบดินแดนใหม่ แต่เป็นการแสวงหาสิ่งมีค่าบนดินแดนใหม่ เมื่อเขาไปถึงอเมริกา เขาได้พบกับชนเผ่าพื้นเมือง คนเหล่านั้นคอยช่วยเหลือเขาและคณะ ทุกอย่าง โคลัมบัส ใช้ความซื่อ และความเชื่อใจ ของอินเดียน ในการแสวงหาผลประโยชน์ เพราะสำหรับอินเดียนแล้ว ความเป็นเพื่อน หรือมิตร จะแสดงออกด้วยการให้ และช่วยเหลือ และสำหรับอินเดียน ทองคำ คือสิ่งที่ธรรมดามากๆ เพราะสามารถหาได้จากแหล่งที่พวกเขาอยู่ อินเดียนแดง สอนให้คณะของโคลัมบัส รู้วิธีเอาตัวรอดบนดินแดนใหม่ โคลัมบัส มองเห็นเส้นทางแห่งความร่ำรวย เขาพยายามหลอกล่อให้อินเดียน บอกว่าทองคำ อยู่ที่ไหน และบังคับพวกเขาด้วยอาวุธ เพื่อไปหาทองคำมาให้ อินเดียนถูกทารุณ จากคณะของโคลัมบัส นอกจากนี้ โคลัมบัส ยังจับพวกอินเดียนกลับไปขายเป็นทาส ในยุโรป ให้พวกคนรวยในยุโรป ซื้อและขาย ความเป็นเจ้าของ ในชีวิตของชนพื้นเมือง และเมื่อพวกอินเดียนแข็งข้อ ลุกขึ้นสู้ โคลัมบัส ก็จะจัดการสังหารทิ้งและเอาทุกอย่างไปจากพวกเขา ในท้ายที่สุด
  • ***ในขณะที่ผู้คนต่างจดจำ โคลัมบัส ว่าเป็นนักผจญภัยที่กล้าหาญ แต่ที่จริง การมาของเขา เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ของความขัดแย้ง ที่มาของสงคราม และความหายนะของชนพื้นเมืองอเมริกัน กับหลายร้อยปีของการแสวงหาผลประโยชน์ ในทวีปอเมริกา***(ผู้เขียน)
  • ป.ล.จบตอนที่ 1. (ติดตามตอนต่อไป เนื่องด้วยเวลาส่วนตัวของผู้เขียนมีน้อย หากล่าช้าประการใด ต้องขออภัย ด้วยครับ) ^^
  • ป.ล.2 สำหรับท่านที่ส่งข้อความมาหลังไมค์ แล้วผมไม่เคยตอบกลับ ไม่ต้องแปลกใจนะครับ เนื่องด้วยสาเหตุด้านความปลอดภัยส่วนตัว ผมจึงไม่ได้แอดใครเป็นเพื่อนไว้ ไม่ว่าใครจะส่งข้อความใดๆมา ผมจะไม่ได้รับ และไม่ได้อ่านครับ ขอบคุณ (อาจทำให้มีหลายคนเข้าใจผิดว่า ผมเป็นคนที่หยิ่ง) ^^

หมายเหตุ: แหล่งอ้างอิง จะอยู่ในตอนสุดท้าย

Work Shop Skill

  Work Shop Skill 



  • งานฝึกทักษะที่สำคัญและจำเป็นสำหรับผู้เรียน ในศตวรรษที่ 21 เพื่อพัฒนาผู้เรียน ในโรงเรียนมาตรฐานสากล Worl Class Stand วิชาประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม มุ่งเน้นการฝึกทักษะความพร้อมสำหรับการเข้าร่วมการศึกษาในสังคมอาเชี่ยน โดยใช้ทฤษฎีการเรียนรู้แบบ KM การจัดการความรู้
    • 1.ผู้เรียนมีทักษะความสามารถในการ สืบค้น ค้นคว้าศึกษาเรียนรู้ ด้วยตนเอง
    • 2.ผู้เรียนมีทักษะความสามารถในการเก็บรวบรวมข้อมูลความรู้ ที่เป็นภาพ เป็นตัวอักษร เป็นเสียง อย่างเป็นระบบ
    • 3.ผู้เรียนมีทักษะความสามารถในการนำเสนอผลงาน อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล
    • 4.ผู้เรียนมีทักษะความสามารถในการสร้างพื้นที่ สำหรับเก็บรวบรวม องค์ความรู้
    • 5.ผู้เรียนมีทักษะความรู้ในการใช้เทคโนโลยี อย่างมีคุณภาพ

ผลงานของผู้เรียน

การจัดการความรู้ 

(Knowledge Management)


เทอมที่ 1 ปี 2558 วิชาประวัติศาสตร์ 
กลุ่มสาระสังคมศึกษาศานาและวัฒนธรรม
โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม

---------------------------------------------------------------------------
ผลงานนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2


ผลงานนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3


-----------------------------------------------------------------------
ชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา